ประเภทของยาเทสโทสเตอโรน เลือกอย่างไรให้เหมาะสมกับคุณ

เทสโทสเตอโรน (Testosterone) เป็นฮอร์โมนหลักในกลุ่มฮอร์โมนเพศชายและสเตอรอยด์การสร้าง (anabolic steroid) ประเภทหนึ่งที่พบในสัตว์มีกระดูกสันหลังโดยมาก มีบทบาทสำคัญในพัฒนาการของเนื้อเยื่อในระบบสืบพันธุ์ชาย เป็นฮอร์โมนเพศชายที่สำคัญ ซึ่งผลิตในร่างกายของผู้ชายและผู้หญิง แต่มีปริมาณที่แตกต่างกัน ในผู้ชาย เทสโทสเตอโรนผลิตจากอัณฑะ และในผู้หญิง จะผลิตจากรังไข่และต่อมหมวกไต ฮอร์โมนนี้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาลักษณะทางเพศชาย เช่น การเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อ การเจริญเติบโตของขน และการรักษาความหนาแน่นของกระดูก

เทสโทสเตอโรน เป็นทั้งยาและฮอร์โมนสเตอรอยด์ที่เกิดโดยธรรมชาติ เป็นยารักษาต่อมบ่งเพศทำงานน้อยเกินในชาย และมะเร็งเต้านมบางชนิด  และอาจใช้เพิ่มสมรรถภาพของนักกีฬาโดยเป็นยาโด๊ป ไม่ชัดเจนว่า การให้เทสโทสเตอโรนเพื่อระดับที่มีน้อยเกินเนื่องจากอายุมากขึ้นมีประโยชน์หรือโทษ  เทสโทสเตอโรนสามารถใช้เป็นแบบเจลหรือแผ่นแปะที่ผิวหนัง ใช้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ เป็นเม็ดที่อมไว้ในแก้ม หรือเป็นยาเม็ดทาน

การใช้ยาเทสโทสเตอโรนในการแพทย์

การใช้เทสโทสเตอโรนทางการแพทย์โดยหลักก็เพื่อรักษาชายที่ผลิตเทสโทสเตอโรนตามธรรมชาติน้อยเกิน ยาเทสโทสเตอโรนมักถูกใช้ในการรักษาผู้ชายที่มีระดับฮอร์โมนต่ำหรือมีภาวะที่เรียกว่า “ภาวะฮอร์โมนเพศชายต่ำ” (Hypogonadism) ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการต่าง ๆ เช่น ความอ่อนเพลีย ลดแรงขับทางเพศ และภาวะซึมเศร้าื เป็นการรักษาที่เรียกว่า การบำบัดทดแทนฮอร์โมน (hormone replacement therapy, HRT) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งซึ่งเฉพาะเจาะจงกว่าว่า การบำบัดทดแทนเทสโทสเตอโรน (TRT) หรือการบำบัดทดแทนแอนโดรเจน (ART) เพื่อดำรงรักษาระดับเทสโทสเตอโรนในเลือดให้อยู่ในระดับปกติของผู้ชาย

  • การขาด การขาดเทสโทสเตอโรน (บางครั้งเรียกด้วยว่า hypotestosteronism และ hypotestosteronemia) เป็นการผลิตเทสโทสเตอโรนต่ำผิดปกติ ซึ่งอาจเกิดเพราะความบกพร่องของอัณฑะ (primary hypogonadism) หรือการทำงานผิดปกติของไฮโปทาลามัส-ต่อมใต้สมอง (secondary hypogonadism) และอาจมีตั้งแต่กำเนิดหรือเกิดภายหลัง
  • ระดับต่ำเนื่องจากสูงอายุ ระดับเทสโทสเตอโรนอาจลดลงเรื่อย ๆ ตามอายุ องค์การอาหารและยาสหรัฐ (FDA) แจ้งเมื่อปี 2015 ว่า ทั้งประโยชน์และความปลอดภัยในการให้เทสโทสเตอโรนเพิ่มยังไม่มีหลักฐานในการรักษาระดับเทสโทสเตอโรนต่ำเนื่องจากการสูงอายุ  และบังคับให้ป้ายยาแสดงคำเตือนถึงความเสี่ยงหัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมองที่เพิ่มขึ้น
  • ชายข้ามเพศ เพื่อให้ได้ผล เทสโทสเตอโรนจะให้กับหญิงเปลี่ยนเพศโดยเป็นส่วนของการบำบัดด้วยฮอร์โมนให้เป็นชาย (masculinizing hormone therapy) โดยให้ได้ถึงระดับฮอร์โมนเฉลี่ยในชาย
  • ผู้หญิง การให้เทสโทสเตอโรนในระดับต่ำ ๆ ได้ผลต่อความผิดปกติ ในผู้หญิงที่มีความต้องการทางเพศน้อย (hypoactive sexual desire disorder, HSDD)  แต่ความปลอดภัยในระยะยาวก็ยังไม่ชัดเจน  การรักษาระดับแอนโดรเจนต่ำด้วยเทสโทสเตอโรนโดยทั่วไปในผู้หญิง ไม่แนะนำถ้ามีสาเหตุจากต่อมใต้สมองทำงานน้อยเกิน (hypopituitarism) เนื่องจากต่อมหมวกไตทำงานไม่เพียงพอ หรือเนื่องจากการตัดรังไข่ออก

การใช้นอกวงการแพทย์

นักกีฬาบางพวกใช้เทสโทสเตอโรนเป็นยาโด๊ปเพื่อเพิ่มสมรรถภาพ  และจัดเป็นสารสร้างกล้ามเนื้อ/แอแนบอลิก (anabolic) โดยอยู่ในรายการสารและวิธีการต้องห้ามขององค์กรต่อต้านการใช้สารต้องห้ามโลก (WADA) สเตอรอยด์สร้างกล้ามเนื้อที่ให้ลักษณะชาย (Anabolic-androgenic steroid, AAS) รวมทั้งเทสโทสเตอโรนและรูปแบบที่เป็นเอสเทอร์ต่าง ๆ ก็ได้ใช้เพื่อเพิ่มการเพาะ ความแข็งแรง และความทนของกล้ามเนื้อ ซึ่งเกิดจากการเพิ่มการสังเคราะห์โปรตีนของกล้ามเนื้อโดยตรง ดังนั้น ใยกล้ามเนื้อก็จะใหญ่ขึ้นและซ่อมแซมตัวเองได้เร็วขึ้นกว่าคนปกติ

ผลข้างเคียงจากการใช้เทสโทสเตอโรน

การใช้เทสโทสเตอโรนมีผลข้างเคียงที่หลากหลาย ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อร่างกาย จิตใจ และความสัมพันธ์ได้อย่างมีนัยสำคัญ การเข้าใจในเรื่องนี้จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถตัดสินใจได้ดีขึ้นเกี่ยวกับการรักษา และมีความระมัดระวังในขณะที่ใช้ฮอร์โมนนี้ โดยการตรวจสอบและติดตามจากแพทย์อย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญเพื่อลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น

1. ผลข้างเคียงทางกายภาพ

  • น้ำหนักเพิ่ม จากกล้ามเนื้อและไขมัน  การใช้เทสโทสเตอโรนสามารถเพิ่มมวลกล้ามเนื้อได้อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากฮอร์โมนนี้ส่งเสริมการสร้างโปรตีนและการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อ ในขณะเดียวกันอาจมีการเก็บน้ำ ซึ่งส่งผลให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นโดยรวม และน้ำในร่างกาย การเก็บน้ำอาจทำให้เกิดอาการบวมที่มือ ขา หรือบริเวณใบหน้า
  • ปัญหาผิวหนัง สิวและผิวมัน การเพิ่มระดับฮอร์โมนเพศชายสามารถกระตุ้นการทำงานของต่อมไขมันในผิวหนัง ทำให้เกิดสิว โดยเฉพาะในบริเวณที่มีต่อมไขมันหนาแน่น เช่น หน้าหรือหลัง อาการแพ้ ผู้ใช้บางรายอาจมีอาการแพ้หรือระคายเคืองที่ผิวหนังจากการใช้เจลหรือแพทช์
  • การเจริญเติบโตของเส้นขน ขนที่ไม่พึงประสงค์  ผู้ใช้อาจมีการเจริญเติบโตของขนในที่ไม่ต้องการ เช่น หน้าหรือหลัง ซึ่งเป็นผลจากการกระตุ้นของฮอร์โมน ผมร่วง ในบางกรณี การใช้เทสโทสเตอโรนอาจทำให้เกิดการหลุดร่วงของเส้นผม ซึ่งอาจส่งผลต่อผู้ที่มีแนวโน้มเป็นโรคหัวล้าน
  • ปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับ Sleep Apnea  มีความเสี่ยงในการพัฒนาภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ ซึ่งอาจทำให้มีอาการง่วงนอนในระหว่างวันและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตโดยรวม

2. ผลข้างเคียงทางจิตใจ

  • อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิด การเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนอาจทำให้เกิดอารมณ์ที่แปรปรวนหรือหงุดหงิดมากกว่าปกติ
  • ความรู้สึกผิดปกติ  บางคนอาจมีความรู้สึกว่าตนเองมีความสำคัญเกินจริง หรือมีความรู้สึกดีใจหรือเสียใจที่รุนแรง
  • ความวิตกกังวลหรือซึมเศร้า บางรายอาจพบว่าตนเองมีอาการซึมเศร้าหรือวิตกกังวลเพิ่มขึ้น ถึงแม้จะมีระดับฮอร์โมนสูงขึ้น
  • การเพิ่มพฤติกรรมเสี่ยง ความมั่นใจเกินไป ผู้ใช้บางรายอาจมีความมั่นใจสูงเกินไป ซึ่งอาจนำไปสู่พฤติกรรมที่เสี่ยง เช่น การทำสิ่งที่ไม่ควรทำ หรือการเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมที่อันตราย

3. ผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด

  • ความดันโลหิตสูง การใช้เทสโทสเตอโรนอาจทำให้เกิดความดันโลหิตสูง โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น โรคอ้วนหรือโรคเบาหวาน ซึ่งความดันโลหิตที่สูงอาจนำไปสู่ปัญหาอื่นๆ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด
  • ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ การศึกษาบางฉบับชี้ให้เห็นว่าผู้ใช้เทสโทสเตอโรนอาจมีความเสี่ยงสูงขึ้นในการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดหรือโรคหลอดเลือดสมอง ผลกระทบเหล่านี้อาจเกิดจากการเพิ่มขึ้นของไขมันในเลือดหรือการอักเสบที่เกี่ยวข้องกับการใช้ฮอร์โมน

4. ผลกระทบต่อระบบสืบพันธุ์

  • การลดลงของอสุจิ การใช้เทสโทสเตอโรนอาจทำให้การผลิตอสุจิลดลง ซึ่งอาจส่งผลต่อความสามารถในการสืบพันธุ์ ทำให้เกิดปัญหาในการตั้งครรภ์ บางรายอาจพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงในปริมาณหรือคุณภาพของน้ำเชื้อ
  • การเปลี่ยนแปลงในอวัยวะเพศ การขยายตัวของต่อมลูกหมาก การใช้ฮอร์โมนเพศชายอาจทำให้ต่อมลูกหมากขยายตัว ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาเกี่ยวกับการขับถ่าย
  • มะเร็งต่อมลูกหมาก มีการศึกษาแสดงว่าผู้ที่ใช้เทสโทสเตอโรนอาจมีความเสี่ยงสูงขึ้นในการพัฒนามะเร็งต่อมลูกหมาก

5. ผลต่อการทำงานของตับ

  • ความเสียหายของตับ การใช้เทสโทสเตอโรนในรูปแบบเม็ด เช่น Methyltestosterone อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อตับได้ ผู้ที่ใช้ฮอร์โมนในรูปแบบนี้อาจต้องมีการตรวจสอบระดับเอนไซม์ตับเพื่อประเมินสุขภาพตับ
  • ระดับเอนไซม์ตับสูงขึ้น การตรวจเลือดอาจพบว่ามีระดับเอนไซม์ตับสูงขึ้น ซึ่งอาจบ่งบอกถึงความเครียดที่ตับหรือการบาดเจ็บที่ตับ

6. ผลกระทบทางอารมณ์และสังคม

  • ความรู้สึกเป็นศูนย์กลาง ผู้ใช้บางรายอาจรู้สึกว่าตนเองมีพลังหรือเป็นที่สนใจมากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่พฤติกรรมที่ก้าวร้าวหรือไม่เหมาะสม บางคนอาจมีความต้องการควบคุมคนรอบข้างหรือมีพฤติกรรมที่สามารถส่งผลต่อความสัมพันธ์
  • ปัญหาความสัมพันธ์ อารมณ์ที่แปรปรวนหรือพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปอาจทำให้เกิดปัญหาในความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ทั้งคู่รัก เพื่อน หรือสมาชิกในครอบครัว ผู้ใช้ที่มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้เกิดความตึงเครียดในความสัมพันธ์

ประเภทของยาเทสโทสเตอโรน

การเลือกใช้เทสโทสเตอโรนขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความสะดวกในการใช้งาน, ระยะเวลาการออกฤทธิ์, และผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ผู้ใช้ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกวิธีที่เหมาะสมกับตนเอง โดยการติดตามและตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้แน่ใจว่าการรักษานั้นมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ยาเทสโทสเตอโรนมีหลายรูปแบบ โดยแบ่งตามวิธีการใช้และลักษณะทางเคมี ดังนี้

1. แบบฉีด (Injectable Testosterone)

  • Testosterone Cypionate ลักษณะเป็นยาฉีดที่นิยมใช้มากที่สุด โดยการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ (Intramuscular Injection) โดยทั่วไปจะฉีดทุก 1-2 สัปดาห์ ระยะเวลาการออกฤทธิ์ประมาณ 8-10 วัน ช่วยให้ระดับฮอร์โมนในเลือดคงที่ และมีความสะดวกในการจัดการ แต่อาจมีอาการระคายเคืองที่บริเวณฉีดได้
  • Testosterone Enanthate ลักษณะเป็นยาฉีดที่คล้ายกับ Cypionate ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ฉีดทุก 1-2 สัปดาห์ ระยะเวลาการออกฤทธิ์ประมาณ 4-5 วัน มีประสิทธิภาพในการเพิ่มระดับฮอร์โมนในเลือด แต่อาจมีอาการคล้ายกับ Cypionate เช่นเดียวกัน
  • Testosterone Undecanoate เป็นยาฉีดที่มีระยะเวลาการออกฤทธิ์ยาวที่สุด โดยใช้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ฉีดทุก 10-14 สัปดาห์ ระยะเวลาการออกฤทธิ์ประมาณ 3-4 สัปดาห์ ข้อดีของเทสโทสเตอโรนตัวนี้คือ ช่วยลดความถี่ในการฉีด ทำให้สะดวกในการใช้ แต่อาจมีอาการคล้ายกับแบบฉีดอื่นๆ

2. แบบทา (Topical Testosterone)

  • Testosterone Gel (เช่น AndroGel, Testim) ลักษณะเป็นเจลที่ทาบนผิวหนัง ใช้ทาบนผิวหนังที่สะอาด (เช่น แขนหรือท้อง) วันละ 1 ครั้ง แบบเจลนี้สามารถดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้อย่างรวดเร็ว มีความสะดวกสบายในการใช้งาน ไม่มีความจำเป็นต้องฉีด ทำให้สะดวกมากขึ้น แต่อาจเกิดการระคายเคืองที่ผิวหนัง หรือมีความเสี่ยงในการส่งผ่านฮอร์โมนไปยังผู้อื่นที่สัมผัส
  • Testosterone Patch (เช่น Androderm) ลักษณะเป็นแผ่นติดผิวหนังที่ปล่อยฮอร์โมน ใช้โดยติดแผ่นไว้บนผิวหนังตลอด 24 ชั่วโมง โดยต้องเปลี่ยนทุกวัน ข้อดีของเทสโทสเตอโรนชนิดนี้ ช่วยให้ระดับฮอร์โมนในเลือดคงที่ โดยผลข้างเตียงคือ อาจเกิดการระคายเคืองที่จุดที่ติดแผ่น

3. แบบเม็ด (Oral Testosterone)

  • Testosterone Undecanoate (Oral) มีลักษณะเป็นยาที่สามารถรับประทานได้ โดยรับประทานพร้อมอาหารเพื่อเพิ่มการดูดซึม โดยข้อดีของแบบเม็ดคือ สะดวกในการใช้และไม่จำเป็นต้องฉีด แต่อาจมีผลข้างเคียงคือ อาจมีความเสี่ยงต่อการทำลายตับ แต่ต่ำกว่ายาเม็ดประเภทอื่นๆ
  • Methyltestosterone มีลักษณะเป็นยาที่ใช้ในกรณีที่ไม่สามารถฉีดได้ ข้อดีคือสามารถใช้ได้ง่าย แต่อาจมีผลข้างเคียง มีความเสี่ยงในการทำลายตับสูง การใช้งานควรทำภายใต้การดูแลของแพทย์

4. รูปแบบอื่นๆ

  • Pellets (Testosterone Pellets) มีลักษณะเป็นแท่งเล็กๆ ที่ฝังใต้ผิวหนัง โดยแพทย์จะฝังแท่งนี้ลงไปในร่างกาย ซึ่งจะปล่อยฮอร์โมนอย่างต่อเนื่อง ระยะเวลาการออกฤทธิ์ปกติอยู่ได้ประมาณ 3-6 เดือน ข้อดีคือ ไม่ต้องมีการใช้ยาอย่างสม่ำเสมอ เพราะปล่อยฮอร์โมนตลอดเวลา แต่ต้องมีการผ่าตัดเล็กๆ เพื่อฝัง ซึ่งอาจทำให้เกิดความไม่สะดวกในช่วงเวลานั้น หรืออาจมีการระคายเคืองหรือการติดเชื้อที่บริเวณที่ฝัง

ข้อควรระวัง

การใช้ยาเทสโทสเตอโรนควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ เนื่องจากอาจมีผลข้างเคียงและความเสี่ยง เช่น ปัญหาหัวใจ โรคเบาหวาน หรือการเปลี่ยนแปลงในระดับฮอร์โมนที่อาจมีผลต่อสุขภาพโดยรวม.

วิธีการเลือกใช้ยาเทสโทสเตอโรนให้เหมาะสม

การเลือกประเภทของยาเทสโทสเตอโรนที่เหมาะสมควรพิจารณาจากหลายปัจจัย

  1. ระดับฮอร์โมน  ควรตรวจสอบระดับเทสโทสเตอโรนในเลือดก่อน โดยแพทย์จะทำการตรวจเลือดเพื่อประเมินสถานะของฮอร์โมนในร่างกาย หากระดับต่ำ การบำบัดด้วยเทสโทสเตอโรนอาจเป็นสิ่งที่เหมาะสม
  2. วิธีการใช้ หากคุณไม่สะดวกในการฉีด อาจเลือกใช้ผลิตภัณฑ์แบบทาหรือแบบเม็ด อย่างไรก็ตาม ควรพิจารณาถึงความสะดวกในการใช้ในชีวิตประจำวัน
  3. ผลข้างเคียง ควรพิจารณาผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากแต่ละประเภท โดยเฉพาะการทำลายตับหรือการระคายเคืองผิวหนัง การเลือกประเภทที่มีผลข้างเคียงน้อยที่สุดจะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพในระยะยาว
  4. ไลฟ์สไตล์ หากคุณมีตารางชีวิตที่ยุ่งเหยิง การใช้แบบเจลหรือแพทช์อาจสะดวกมากกว่า แต่หากคุณสามารถไปพบแพทย์ได้บ่อยครั้ง การฉีดอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
  5. การติดตามผล ควรมีการติดตามและตรวจสอบระดับฮอร์โมนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อปรับการรักษาให้เหมาะสมตามสภาพร่างกาย

ตัวอย่างการเลือกใช้

กรณีที่ 1 หากคุณเป็นคนที่มีตารางชีวิตยุ่งเหยิงและไม่สะดวกในการฉีดยา อาจเลือกใช้ Testosterone Gel หรือ Patch ซึ่งใช้งานง่ายและสามารถทำได้ที่บ้าน

กรณีที่ 2 หากคุณไม่กลัวการฉีดยาและต้องการการควบคุมระดับฮอร์โมนที่แม่นยำ อาจเลือกใช้ Testosterone Cypionateหรือ Enanthate ซึ่งช่วยให้ระดับฮอร์โมนในเลือดคงที่และมีประสิทธิภาพสูง

กรณีที่ 3 หากคุณต้องการวิธีการที่ไม่ต้องใช้ยาบ่อยๆ การใช้ Testosterone Pellets อาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะสามารถฝังและปล่อยฮอร์โมนอย่างต่อเนื่อง

การเลือกใช้ยาเทสโทสเตอโรนต้องอิงตามความต้องการและสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้แน่ใจว่าการบำบัดนี้จะช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตและสุขภาพโดยรวมอย่างปลอดภัย การรับรู้และเข้าใจเกี่ยวกับยา

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Scroll to Top